การแจ้งเตือนอาการปวดท้องหรือการหดตัวของ Braxton Hicks เป็นอาการปวดท้องที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด แม้อาการจะคล้ายการเจ็บท้องคลอดแต่อาการเจ็บเตือนไม่ใช่สัญญาณบ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะคลอด ลักษณะของอาการเตือนของอาการปวดท้องจะแตกต่างจากความรู้สึกปวดท้องจริง และอาการมักจะหายไปได้เองในระยะเวลาอันสั้น

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน อาจเกิดจากทารกดิ้น การขาดน้ำ คุณแม่ทำงานหนักมีอาการปัสสาวะเต็มกระเพาะหลังมีเพศสัมพันธ์ หรืออาจเกิดจากโรคที่ทำให้คลื่นไส้อาเจียน บทความนี้ได้รวมข้อมูลสำหรับคุณแม่ ทั้งลักษณะการปวดท้องเตือนมาตรการรับมือและอาการผิดปกติที่ควรไปพบแพทย์

รู้จักอาการปวดท้องและวิธีจัดการอาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์

สัญญาณเตือนอาการปวดท้อง

อาการปวดท้องอาจเกิดขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์แต่แม่ท้องส่วนใหญ่มักจะรู้สึกเจ็บปวดเตือนตั้งแต่ไตรมาสที่สองจนถึงช่วงเวลาของการคลอดบุตร สัญญาณเตือนอาการปวดท้องมักมีลักษณะดังนี้

  • มีอาการท้องแข็ง หรือมีอาการปวดบีบคล้ายปวดประจำเดือน ซึ่งมักจะปวดเฉพาะบริเวณท้องน้อยเท่านั้น
  • ความเจ็บปวดไม่สม่ำเสมอ ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน อาการมักเป็นสั้นๆ ไม่เกิน 30 วินาที ถึง 2 นาที แล้วหายไป
  • ระยะของอาการแต่ละอาการใกล้เคียงกันไม่บ่อยนัก
  • ความรุนแรงของอาการเท่าเดิม หรือปวดน้อย ปวดรุนแรงขึ้น
  • อาการจะดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
SEE ALSO  สาวกาฬสินธุ์เป็นไข้หวัด หลังกลับจีน แพทย์ติดตามอาการใกล้ชิด | เนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับรพ.กาฬสินธุ์เพิ่งได้รับการอัปเดต

อาการเจ็บท้องคลอดจะแตกต่างจากอาการปวดท้อง โดยอาการปวดท้องคลอดมักจะเริ่มปวดที่กลางหลังและลามไปถึงท้องน้อย อาการปวดมักจะคงอยู่ประมาณ 30 ถึง 90 วินาที อาการปวดจะกินเวลานานขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และมักไม่ดีขึ้นเมื่อพักผ่อนหรือกินยาแก้ปวด

นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นๆสัญญาณบ่งบอกว่าแม่กำลังจะคลอด เช่น มีมูกหรือเลือดออกทางช่องคลอด และเดินน้ำ

SEE ALSO  สอนออกกำลังกายแก้ปวดหลังร้าวลงขา หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท | หมอนรองกระดูกสันหลังข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวข้อง

แนวทางรับมือเมื่อคุณแม่ปวดท้อง

โดยทั่วไปแล้วอาการแน่นหน้าอกมักจะหายไปในระยะเวลาสั้นๆ คุณแม่สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการแน่นหน้าอกได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น

  • นั่งหรือนอนสักครู่หากคุณทำงานหรือทำกิจกรรมเป็นเวลานาน
  • เปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ลุกเดินเมื่อนั่งหรือยืนนานๆ
  • นอนตะแคงซ้าย สามารถช่วยในเรื่องการไหลเวียนโลหิต ซึ่งจะช่วยลำเลียงสารอาหารไปหล่อเลี้ยงทารกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักตัวของมารดากดดันตับมากเกินไป
  • ดื่มน้ำเพียงพอที่จะป้องกันการขาดน้ำ
  • ปัสสาวะเมื่อคุณรู้สึกเจ็บปวดและไม่ควรความมักมากในกาม
  • ทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงสบายๆ ฝึกการหายใจ

อาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

คุณแม่ควรระวังอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณอันตรายและควรไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์:

  • ปวดเฉียบพลันหรือรู้สึกกดทับบริเวณท้องส่วนล่างและเชิงกราน รวมถึงอาการปวดหลังที่ไม่ดีขึ้น
  • ปวดบ่อย เช่น ทุก 5 นาที นาน 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นในแต่ละครั้ง
  • ปวดมากจนเดินไม่ได้
  • มูกปนเลือดหรือมีเลือดออกจากช่องคลอด
  • การรั่วไหลของน้ำคร่ำ และน้ำไหล
  • ทารกดิ้นน้อยกว่า 6 ถึง 10 ครั้งใน 1 ชั่วโมง
SEE ALSO  ชัวร์ก่อนแชร์ : จาวตาลพิชิตนิ่วในถุงน้ำดี จริงหรือ? | สรุปเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับยา สลาย นิ่ว ใน ถุง น้ำ ดีล่าสุด มูล

อาการปวดท้องเป็นอาการทั่วไปของการตั้งครรภ์ และมักไม่เป็นอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม หากสงสัยหรือไม่มั่นใจในอาการที่เกิดขึ้น ควรสังเกต ลักษณะอาการ ระยะเวลา และความถี่ของอาการ เพื่อปรึกษาแพทย์และรับคำแนะนำในการรักษาต่อไป

#รจกอาการเจบทองเตอน #และวธรบมอเมอมอาการสำหรบแมตงครรภ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *